Cartel คือ กลุ่มที่เกิดจากการตกลงทำความร่วมมือกันของกลุ่มคนหรือองค์กรเพื่อผูกขาดหรือสามารถควบคุมการดำเนินการใดๆ ในตลาดนั้น ในที่นี้จะขอเรียกหรือ กลุ่มการค้าที่มีการรวมกลุ่มเพื่อผูกขาดทางธุรกิจ หรือ สั้นๆว่า Cartel ตามต้นฉบับ โดยมีเป้าหมายเพื่อกดราคาให้ต่ำจนนักลงทุนรายย่อยออกจากตลาด และเพื่อเข้าควบคุมความเคลื่อนไหวของตลาด
__________________________________________________________________
หมายเหตุจากผู้เขียน: บทความนี้อาจจะขอให้ถูกลบหรือหายไป จากคำร้องขอของผู้มีอิทธิพล โปรดอ่านเมื่อยังอ่านได้ ณ วันที่ 28 มีนาคม มีผู้อ่านไปจำนวน 40,000 คน
___________________________________________________________________
ในทุกตลาดจะมีองค์ประกอบอยู่ 3 มิติในการขับเคลื่อนราคา คือ
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
- การวิเคราะห์ทางพื้นฐาน (Fundamental Analysis) และ
- การปั่นหรือควบคุมราคา (Manipulation)
ในบางตลาดจะมีมิติที่ 4 เป็นองค์ประกอบของตลาด คือ Cartel ที่มีเป้าหมายในการกดราคา (Price Suppression) ซึ่งต่างจากการปั่นหรือควบคุมราคา (Manipulation) ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
และแน่นอนตลาด Crypto ก็เป็นหนึ่งในตลาดที่ Cartel เข้ามากดราคา เช่นกัน
โดยผู้เขียนได้เคยระบุว่าจะมี การปรับราคาลง 95% และได้ทวีตไว้ก่อน ก่อน CME (Chicago Mercantile Exchange) จะเปิดการซื้อขาย Future ซึ่งตอนนี้ตลาดได้ลงมากกว่า 70% แล้ว
และอย่าหวังว่าการลงจะเกิดขึ้นภายในครั้งเดียวเราจะเห็นการขึ้นลงอย่างรวดเร็วอีกหลายครั้งระหว่างขาลงนี้ และที่สำคัญ
ราคา BTC ที่ 20,000 USD เป็นแค่ช่วงแรกของเกมนี้
Cartel เริ่มเข้ามามีบทบาทตั้งแต่เมื่อไหร่?
จากการประมาณการพบว่ากลุ่มที่ต้องการสร้างการเพื่อผูกขาดในตลาดนั้น เริ่มมีบทบาทตั้งแต่ ตุลาคม 2017 โดยหลักฐานต่างๆเริ่มปรากฏเมื่อ CME เริ่มเปิดประตูการซื้อขาย BTC Future
และที่เห็นได้ชัดเจนคือ การเทขาย (Dump) เกิดขึ้น เมื่อเวลา 5.00 PM ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2017 และยังคงแนวโน้มขาลงมาจนถึงปัจจุบัน
หากไม่เชื่อในแนวคิดว่ามี Cartel อยู่ในตลาด และเชื่อว่าการปรับตัวของราคาเป็นไปตามธรรมชาติของกลไกตลาด
ลองพิจารณาข้อมูลเหล่านี้ดู แล้วจะพบว่ากลไกการปรับตัวตามธรรมชาติของตลาดไม่มีอยู่จริงตั้งแต่ 17 ธันวาคม 2017
พิจารณาจากภาพประกอบ: จะพบว่าราคาของ BTC มีการประดิษฐ์ขึ้น (Manufactured”) หรือความพยายามในการแทรกแซงให้ราคาไม่เป็นไปตามกลไกปกติ
และนี่คือวิธีที่ Cartel ใช้มาตั้งแต่ตลาด CME ได้เปิดดำเนินการ:
เมื่อดูจากภาพ จะพบว่าข่าวต่างๆทั้งหมดมีการปล่อยออกมา ณ ช่วงเวลาเดียวกับที่ถึงแนวต้านสำคัญของราคา BTC และเมื่อประกอบข่าวตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม จนถึง 7 มีนาคม เข้ากับกราฟราคา จะเห็นว่ามีการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อทำลายราคา เช่น
ข่าวว่า Mt.Gox เทขาย BTC ณ วันที่ 7 มีนาคม ทั้งที่ความจริงไม่มีการขายดังกล่าว หรือข่าวคดี Tether ที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องและออกหมายศาลเพื่อการตรวจสอบที่ออกมากดดันให้เกิดการเทขายในวันที่ 30 มกราคม ทั้งที่ตัวหมายศาลออกมาตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคมแล้ว จึงน่าสังเกตว่าทำไมต้องรอถึง 55 วันในการปล่อยข่าวร้ายออกมา
รุู้หรือไม่ว่า มีการเทขายรายวัน ติดต่อกันถึง 6 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2018 ณ เวลา 11.30 am
อ่านต่อ ข้อสังเกตนี้ได้ที่: https://www.zerohedge.com/news/2018-03-09/its-1130et-do-you-know-where-your-crypto-crash
และในช่วงวันที่ 24–27 มีนาคม มีการเทขายอย่างเป็นรูปแบบ
1) ทุกๆครั้งที่ราคามีแนวโน้มจะฟื้นตัวขึ้นมา ก็จะมีการขายปริมาณมากเกิดขึ้นทันที โดยดูจากกราฟจะพบว่าอยู่แรงขายก็โผล่มาจากไหนไม่รู้
2) ปริมาณการขายสูงและมีนัยสำคัญพอให้ราคาไม่สามารถกลับขึ้นมาได้อีก
3) แรงเทขายจะเกิดขึ้นเมื่อราคาต่ำกว่า ราคาที่ได้ทำการเทขายลงไปในครั้งก่อน (เกิดจุดต่ำสุดใหม่เรื่อยๆ)
มาวิเคราะห์พื้นฐานของ ทฤษฎี Cartel หรือแนวคิดที่ว่ามีการรวมกลุ่มเพื่อกดดันราคา
Cartel คือ อะไร?
กลุ่มที่เกิดจากการตกลงทำความร่วมมือกันของกลุ่มคนหรือองค์กรเพื่อผูกขาดหรือสามารถควบคุมการดำเนินการใดๆ ในตลาดนั้น ในที่นี้จะขอเรียกหรือ กลุ่มการค้าที่มีการรวมกลุ่มเพื่อผูกขาดทางธุรกิจ โดยจะทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยเป็นตัวแทนของชนชั้นนำในตลาดการเงินการลงทุน (financial elite) โดยเป้าหมายเพื่อการควบคุมราคาหรือกดดันราคาให้ต่ำในสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์บางประเภท ตามความต้องการของเจ้านายสูงสุดหรือผู้บงการ
Cartel มีอยู่ในทุกตลาดหรือไม่?
ไม่ มีแค่ไม่กี่ตลาดที่ Cartel เข้าไปจัดการตลาดนั้นๆ โดยตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือ ตลาดทองคำ แร่เงิน และ BTC โดย BTC พึ่งเห็นการเข้ามามีบทบาทเมื่อเดือนธันวาคม 2017
คนส่วนใหญ่มักปฏิเสธการมีอยู่ของ Cartel แม้ว่าจะเคยมีผ่านประสบการณ์ที่เคยต่อสู้กับ Cartel มาแล้ว จนกว่าจะเห็นความเสียหายถึง 95%
ตัวอย่างคือตลาดทองคำและเงิน ที่มีราคาร่วงลงถึง 1200 USD และ 14 USD ตามลำดับ ซึ่งราคาดังกล่าว ต่ำกว่าราคาขายหน้าเหมืองทำให้มีเหมืองที่ล้มละลายไปจำนวนมาก แต่คนที่ลงทุนในทองคำบาส่วนก็ยังไม่รู้ว่า Cartel เข้ามาควบคุมตลาดนี้ไว้
หลักฐานเพื่อพิสูจน์การมี Cartel
ถ้าสังเกตกราฟราคาของ Uranium ในช่วง 25 ปี จะพบว่า:
1) ราคา Uranium ขึ้นจาก 5 USD ถึง 130 USD ในช่วง 1993 -2007
2) ตลาด Future เริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม 2007
3) ราคาเริ่มร่วงตั้งแต่ พฤษภาคม 2007 และไม่สามารถฟื้นกลับมาสู่ระดับราคาที่เคยทำไว้ได้เลย
จะเห็นว่า Cartel มีการใช้ Future เป็นสนามในการกดดันราคาและใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมตลาด
หลักฐานต่อไป คือตลาดทองคำ จากกราฟราคาในช่วง 25 ปี
จะพบว่า Cartel เริ่มเข้ามามีบทบาทในการกดดันราคาทองคำใรตลาด Future ตั้งแต่ ปี 2011
หมายเหตุจากผู้เขียน: ตลาด Future ของทองคำ เริ่มต้นมาตั้งแต่ 1974 และมีการเพิ่มขึ้นของราคาในช่วง 1974 สาเหตุที่ไม่มีการกดดันราคาให้ต่ำในช่วงนั้นเพราะ
1) ไม่มีความจำเป็น เนื่องจากทองคำเลิกผูกกับ USD ในปี 1971
2) สหรัฐอเมริกาไม่ได้มีหนี้ 21 ล้านล้าน USD ในตอนนั้น
ความต้องการทองคำกลับมาอย่างรวดเร็วเมื่อปี 2011 เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤติซับไพร์มในปี 2008 และตั้งแต่ตอนนั้นจะพบว่ามีการกดดันราคาให้ตำอยู่ตลอดเวลาในทองคำและรวมถึงเงินด้วย
เมื่อเทียบกราฟในตลาดที่มี Cartel เข้ามามีบทบาทกับ BTC จะเห็นความเหมือนของรูปแบบที่เกิดขึ้น
ลองพิจารณาว่าเป็น เรื่องบังเอิญ?
การพักฐานทั่วไป?
หรือมันคือการกดราคาให้ต่ำ (ซึ่งแตกต่างจากการควบคุมราคา)
กลับมาที่ตลาด BTC จะพบว่าราคาร่วลงต่อเนื่องตั้งแต่ตลาด CME เริ่มต้นในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และถ้าถามว่ามันจะดำเนินตามรอยตลาดทองคำและเงินหรือไม่ ในความคิดของผู้เขียน คือ ใช่ราคาจะซ้ำรอยรูปแบบที่ Cartel เคยทำ
อีกหนึ่งหลักฐาน คือ มีการจับกุมนักเทรด จำนวน 6 ราย ในข้อหาปั่นและควบคุมราคาในตลาดทองคำและเงิน โดยบุคคลเหล่านี้ เป็นพนักงานปัจจุบันและมีบางส่วนเป็นอดีตพนักงานของ UBS HSBC และ Deutsche Bank
อ่านต่อที่: https://www.cftc.gov/PressRoom/PressReleases/pr7681-18
ข้อมูลเหล่านี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งบนยอดภูเขาน้ำแข็ง
และ Cartel คือผู้มีอำนาจที่เป็นมือที่มองไม่เห็นในตลาด เราต้องตระหนักรับรู้และทำใจยอมรับ
Cartel ประกอบไปด้วยกลุ่มใดบ้าง?
กลุ่มนี้มักประกอบไปด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ธนาคารขนาดใหญ่ ผู้กำกับดูแลตลาด และสื่อสารมวลชน
และจะทำงานอย่างสอดคล้องกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการกดราคาให้ต่ำ
เมื่อพิจารณาจากช่วง มกราคม ถึง 7 มีนาคมที่ผ่านมา จะพบว่ามีข่าวร้ายถาโถมมาทุกครั้งที่ราคาพยายามยกระดับเหนือ 10,000 USD และสุดท้ายเมื่อลงต่ำกว่าแนวรับสำคัญนี้ Cartel ได้เล่นบทบาทสำคัญจนระดับราคาปัจจุบันต่ำกว่า 8,000 USD แล้ว
ทำไม Cartel ถึงทำแบบนี้?
เพื่อคงสภาพให้ USD เป็นสกุลเงินหลักที่ควบคุมตลาดการเงินโลก (Dollar Hegemony)
นักการเงิน นายธนาคาร และรัฐบาลต่างทราบว่าคริปโตเป็นภัยต่อการมีอยู่ของระบบเดิม และเมื่อกลุ่มอำนาจเดิมเห็นภัยอันตราย ย่อมเป็นธรรมดาที่จะเข้าทำลายศัตรูด้วยทุกวิธีทางที่มี ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของกลุ่มชนชั้นนำเหล่านี้ (Elite) ที่จะยับยั้งหรือควบคุม BTC
พวกเขาทำสิ่งใดบ้างเพื่อหยุดการเติบโตของ BTC?
ในช่วงแรก Cartel ปล่อยให้ระดับราคาขึ้นไปในจุดที่คนคาดไม่ถึง คือ 20,000 USD / BTC
และกดราคาให้ต่ำจนคาดไม่ถึง
และจะทำแบบนี้ซ้ำๆอีกหลายครั้ง เนื่องจากกลุ่มนี้มีเงินเป็นล้านๆในการเล่นเกมนี้ จนกว่าผู้เล่นรายย่อยจะพ่ายแพ้ไปในที่สุด
โดยตั้งแต่ช่วงกลางปี 2017 เป็นแค่ช่วงแรก จาก 9 ช่วงของเกมนี้เท่านั้น
BTC ในเป็นส่วนหนึ่งของเกมการเมืองในด้านภูมิศาสตร์ (Geopolitical) และนักลงทุนยังไม่รู้ว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของเกมที่ยิ่งใหญ่ และคริปโตเป็นเพียงหนึ่งในหมากที้ต้องมีการจัดการ เช่นที่เคยทำกับทองคำและเงินมาก่อน
ลองพิจารณาข่าวที่ทรัมป์ ต่อต้านคริปโตที่ออกโดยเวนซูเอลา ซึ่งมีทูลค่าตลาดไม่มีนัยสำคัญแต่มันเป็นตัวอย่างที่ทำให้ความมั่นคงของ USD สั่นคลอน เนื่องจากคริปโตจะทำให้สามารถเป็นอิสระจากการควบคุมระบบการเงินผ่าน USD จึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่ห้ามประเทศอื่นๆในการออกคริปโต
ทำไมมีแค่ตลาดทองคำ เงิน และ BTC ที่ Cartel เข้าไปมีบทบาท ทำไมไม่เข้าไปในตลาดหุ้น กองทุน ตราสารเงินต่างๆบ้าง?
เพราะถ้าเงินไหลเข้าสู่ทองคำ เงิน และ BTC จะทำให้เงินที่ใช้กันในปัจจุบันไม่มีคุณค่าและไม่มีความหมายในการเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนอีกต่อไป และการที่เงินอยู่ในหุ้นหรือตราสารต่างๆ เป็นการสนับสนุนให้ USD มีตัวตนอยู่ต่อไป
และยังมีกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับกลไกนี้คือ Plunge Protection Team — PPT หรือทีมที่มีเป้าหมายในการทำให้ตลาดหุ้นและตราสารการเงินคงอยู่และยกระดับสูงขึ้น เพื่อรักษามายาคติของการมั่งคั่งต่อไปทั้งๆที่ประเทศได้ล้มละลายไปแล้ว โดยใช้เงินที่สามารถถูกพิมพ์ออกมาดดยไม่จำกัดปริมาณเป็นหนึ่งในเครื่องมือ
ทำไมไม่ห้ามและยุติ BTC หรือ ทองคำไปเลย?
เนื่องจากมีผลกระทบทางลบหากมีการห้ามการซื้อขายสินทรัพย์ใดใดอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกของสังคมเครือข่ายออนไลน์ในปัจจุบัน
มองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์
คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีการห้ามและยึดทองคำโดยรัฐ ในปี 1933 โดยใช้อำนาจของประธานธิบดี
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ
1) รัฐบาลและนักการเมืองต้องรับมือกับประชาชนที่ไม่พอใจจำนวนมาก
2) เกิดการกักตุนและสะสมมากขึ้นเมื่อประกาศห้าม
จึงมาสู่ทางเลือกที่ดีกว่า คือ การกดดันราคาให้ต่ำ
เป็นหนทางที่ดีกว่าการห้าม หรือการควบคุมอื่นๆ เพราะเมื่อราคาตกต่ำ
1) ผู้คนส่วนใหญ่มักปฏิเสธหรือไม่เชื่อว่ามีกลไกชั่วร้ายที่สามารถกดราคาให้ต่ำได้ แม้พื้นฐานของมันจะยังดีอยู่ก็ตาม
2) เมื่อราคาตกต่ำ ผู้คนเริ่มไม่ชอบสินทรัพย์นั้น ดูจากกรณีของทองและเงินที่เคยเป็นสินทรัพย์ที่ต้องเก็บแต่ปัจจุบันคนส่วนใหญ่เลือกที่จะออมและสะสมหุ้นมากกว่าทองคำ และมีการย้ายจากการสะสมทองคำไปสู่คริปโตด้วยส่วนหนึ่งในช่วงที่ราคา
คริปโตอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่ Cartel ต้องการเพราะจะได้เข้าสะสมสินทรัพย์ทองคำและเงินที่รายย่อยขายในราคาถูก
ด้วยกระบวนการนี้ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการห้ามประชาชนโดยตรง
และจากมุมมองของผู้เขียนการห้ามจะไม่เกิดขึ้นหากสินทรัพย์พวกนี้สามารถกำกับและควบคุมได้ แต่ราคาก็จะยังคงต่ำไปเรื่อยๆ โดยอาจจะมีการขึ้นบ้างในบางช่วง แต่เมื่อราคาไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่พอใจแก่รายย่อยได้ ก็จะเกิดการขาย กลุ่ม Cartel นี้ก็จะเริ่มสะสมในราคาต่ำ กรณีที่น่าจะเกิดการห้ามคือมีการขึ้นของราคาที Cartel ไม่สามารถควบคุมได้
จากข้อมูลทั้งหมดดูแล้วเหมือนเป็นทฤษฎีสมคบคิดระดับโลก “Grand conspiracy” ซึ่งก็น่าจะใช่และต้องยอมรับ โดยมีทางเลือก 2 ทาง:
1) ปฏิเสธและสูญเงินต่อไป
2) อีกทางเลือก คือ
a. ตระหนักถึงความอันตรายนี้
b. เข้าใจจุดแข็งของศัตรู
c. เล่นตามกลุ่ม Cartel
d. ปกป้องเงินทุนของตนเอง
e. ซื้อ BTC ราคาที่ถูกมากหลังจากนี้
ทำได้ทุกอย่างยกเว้นขายให้ Cartel ในราคาถูก เพราะจะยิ่งสนับสนุนการกดราคาให้ต่ำในตลาด นี่คือเกมที่จะส่งต่อความมั่นคั่งจากสามัญชน สู่เหล่านักการเงินการธนาคาร
กลยุทธ์ที่ผู้เขียนใช้ คือ
1) ถือให้หน่อย ซื้อขาลงให้น้อย
2) ขายตอนขาขึ้น
3) ซื้อตอนราคาถูกสุดๆ (ถูกสุดๆในที่นี้ คือ ราคาต่ำมากๆ ณ ราคาที่คนอื่นถอดใจ และทำการเข้าซื้อแค่ช่วงนั้นเท่านั้น)
4) ถ้าไม่สามารถทนต่อความเครียดได้ ให้ซื้อที่ราคาต่ำและถือ ไม่ต้องเทรด
ดูรูปประกอบของแนวคิดในการเข้าซื้อ และขาย
การกดดันราคาให้ต่ำเกิดขึ้นที่ไหนและที่ผ่านมาทำได้อย่างไร?
ส่วนใหญ่จะเกิดผ่าน ตลาด Future เช่น CME หรือ COBE
Cartel เข้าซื้อสะสม BTC ใน Exchange ตั้งแต่ราคา 2,000 USD จนถึง 12,000 USD และปล่อยให้ตลาดวิ่งขึ้นไปที่ 20,000 USD เมื่อตลาด Future เปิดในวันที่ 17 ธันวาคม 2017 ก็ทำการเริ่มเทขายในตลาด Exchange
ต่อไป Cartel จะเคลื่อนไหวอย่างไร?
Cartel จะกดดันราคาให้ต่ำใน Exchange ต่อไปจนตลาด Future มีปริมาณสัญญามากขึ้น จนปริมาณมาพอให้ย้ายจาก Exchange ไปดำเนินการผ่าน Future แทน สรุปคือ จะเกิดการขายจนกว่าปริมาณการซื้อขายใน ตลาด Future ของ BTC จะพอๆกับตลาด Future ของถั่วเหลือง
กระบวนการดังกล่าวจะยาวนานแค่ไหน?
พิจารณาจากตลาดทองคำและเงินพบว่า การกดราคาให้ต่ำเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2011 จนปัจจุบันก็ยังดำเนินอยู่
จุดจบจะเป็นอย่างไร?
จากความคิดของผู้เขียน คิดว่า วันหนึ่ง Cartel จะสูญเสียการควบคุมในตลาด และราคาจะขึ้นอย่างรุนแรง โดยเส้นทางน่าจะเป็นดังนี้
20,000 USD / BTC ลงมาที่ 1,000 USD/ BTC จนไปถึงระดับ 100,000 USD/BTC
และสาเหตุที่ทุกคนต้องเป็นเจ้าของ BTC เมื่อถึงเวลาก็คือ
1) วันหนึ่งหลุ่มการเงินและธนาคารจะแพ้เกมนี้ สุดท้ายด้วยเงินของประชาชนจะเป็นฝ่ายชนะ
2) ณ วันนนั้นต้องมี BTC ทองคำ และเงิน เป็นสินทรัพย์ของตนเอง
3) จึงจ้องซื้อสินทรัพย์เหล่านี้ไว้ตอนราคาต่ำๆ
4) แต่ไม่สามารถระบุเวลาได้
การไม่แพ้ในเกมนี้เป็นจุดสำคัญอย่างมาก มันเป็นเงินของประชาชน และจะต้องอยู่กับประชาชนผู้เป็นเจ้าของต่อไป
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ที่ลงทุนในคริปโตยังไม่ตระหนักถึงการมีอยู่ของ Cartel และคิดว่าเป็นกลไกลของผู้มั่งคังมและมีเงินทุนจำนวนมากทั่วไป (Whales) และมองว่าเหตุต่างเป็นไปตามปกติหรือเหตุบังเอิญ
นั่นเพราะทุกอย่างดูเป็นไปตามการวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่ Cartel ที่มีเงินเป็นล้านล้าน USD ก็จ่ายให้กับนักวิเคราะห์ทางเทคนิคเช่นกัน และกลไกต่างก็ถูกควบคุมทั้งทางตรงและทางอ้อม
สาเหตุที่ราคาร่วง ณ วันที่ตลาด Future เปิดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ณ จุดที่ราคาพุ่งไป 20,000 USD คนกำลังเห็นภาพในการพุ่งไปถึง 100,000 USD แต่ตอนนี้คนกลับมาบอกว่าการปรับตัวลงมา 50% เป็นเรื่องปกติและจะมีการกลับไปที่ 20,000 USD โดยเหตุผลที่บอกว่ามีการปรับตัวลงช่วงนั้นมากจาก BCH เริ่มให้ซื้อขายบน Coinbase และต่อมาก็บอกว่าเป็นเพราะข่าวหมายศาลการตรวจสอบ Tether และต่อมาก็ว่าเป็นสาเหตุจาก Mt.Gox เทขายซึ่งเป็นการหาเหตุผลมาอ้างไม่จบสิ้น
ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงคิดว่าสังคมนักลงทุนคริปโตไม่สามารถรวบรวมและสู้กับ Cartel ได้จนถึงเวลาที่สายเกินไป ซึ่งเวลาที่สายเกินไปนั้นคือ จุดที่ผู้ซื้อ เริ่มเกลียดคริปโต ซึ่งอาจจะเป็นช่วงราคาที่ต่ำกว่า 1,000 ก็เป็นได้
แต่ผู้เขียนก็หวังให้ตนเองคิดผิดและกลับไปสู่จุดเดิมที่ 20,000 USD โดยเร็วและขึ้นไปสู่จุดสูงสุดใหม่ต่อๆไป
นี่คือศึกระหว่างทุน 4 แสนล้าน USD กับทุน 4 ล้านล้าน USD ซึ่งเป็นศึกที่ไม่เท่าเทียมกันเลย จนถึงตอนนี้ 2 แสนล้านได้หายไปจากมูลค่าตลาดแล้ว ปัจจุบัน BTC มีมูลค่าตลาดเพียง 120 แสนล้าน USD จาก 327 แสนล้าน USD ซึ่งต้องพิจารณาว่านี่เป็นการพักฐานปกติหรือไม่
ถ้าสนใจสามารถซื้อ BTC ได้ที่ Bitkub โดยสมัครผ่าน Ref Code นี้:
https://www.bitkub.com/signup?ref=1459
#ctcnewsreporters #Bitcoin #BTC #Bitkub